วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

 
 
 กินรี

       กินรีมีต้นกำเนิดที่แท้จริงเป็นมาอย่างไรนั้นยังไม่พบตำราไหนกล่าวไว้ชัดเจน แต่ในเทวะประวัติของพระพุธกล่าวไว้ว่า เมื่อท้าวอิลราชประพาสป่าแล้วหลงเข้าไปในเขตหวงห้ามของพระศิวะนั้น ท้าวอิลราช และบริวารถูกสาปให้แปลงเพศเป็นหญิงทั้งหมด ต่อมานางอิลา คือ ท้าวอิลราชถูกสาป และบริวารที่มาเล่นน้ำอยู่ใกล้อาศรมของพระพุธ เมื่อพระพุธเห็นนางเข้าก็ชอบ รับนางเป็นชายา และเสกให้บริวารของนางกลายเป็น กินรี โดยบอกว่าจะหาผลาหารให้กิน และจะหากิมบุรุษให้เป็นสามี แสดงว่า กิมบุรุษ หรือ กินนร และกินรีมีต้นกำเนิดมาจากการเสกของพระพุธ
ในหนังสือของ พี.ธอมัส กล่าวว่าที่เชิงเขาเมรุเป็นที่อยู่ของคนธรรพ์ กินร และสิทธิ์ และว่าคนธรรพ์กับกินนรเป็นเชื้อสายเดียวกัน ส่วนในภัลลาติชาดก กล่าวว่า กินนรมีอายุ ๑,๐๐๐ ปี และธรรมดากินนรนั้นย่อมกลัวน้ำเป็นที่สุด ซึ่งน่าจะขัดแย้งกับอุปนิสัยกินนรในเรื่องพระสุธน เพราะนางมโนห์ราชอบไปเล่นน้ำที่สระกลางป่าหิมพานต์ จึงถูกพรานบุญดักจับตัวได้
นางสุวรรณมาลี

        นางสุวรรณมาลีลูกสาวแสนสวยของ ท้าวสิลราช เจ้าเมืองผลึก ได้ฝันเห็นเกาะในทะเล จึงออกเดินทางตามความฝัน ระหว่างทางเจอพายุเรือถูกพัดมาที่เกาะแก้วพิสดาร พระอภัยมณีกับสินสมุทรจึงขอติดเรือไปด้วย แต่ออกจากเกาะไม่ทันไรก็เจอนางผีเสื้อสมุทรอาละวาดจนเรือล่ม ท้าวสิลราชสิ้นชีพ พระอภัยมณีจำต้องเป่าปี่สังหารนางผีเสื้อสมุทร

พระอภัยพานางสุวรรณมาลีกลับเมืองผลึก นางมณฑาเต็มใจยกทั้งเมืองและลูกสาวให้พระอภัยมณี นางสุวรรณมาลีจึงได้เป็นเมียคนที่3ของพระอภัยฯ แต่เป็นเมียที่เป็นมนุษย์คนแรก มีลูกสาว2คนคือ สร้อยสุวรรณ จันทรสุดา ซึ่งถือเป็นเมียที่มีความเพรียบพร้อมมากที่สุด ทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย สติปัญญา ชาติตระกูล ฐานะ
          นางวาลี

เมียคนที่ 4 ของพระอภัยดูจะต่างจากคนที่ผ่านมา เพราะนางวาลีจัดว่าเป็นเมียที่ขี้เหร่ที่สุด แถมยังมาเสนอตัวขอให้พระอภัยมณีเป็นสามีเองอีก แรกเริ่มเดิมทีพระอภัยมณีเองก็ไม่เต็มใจนัก แต่นางวาลีเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาและวาจาเป็นเลิศ เพราะสามารถเกลี้ยกล่อมชักแม่น้ำทั้งห้า โน้มน้าวใจให้รับนางเป็นเมียจนได้

แม้ว่านางจะไม่สวย แต่ถ้าเทียบกับเมียคนอื่น นางวาลีถือเป็นเมียที่ฉลาดที่สุด และพระอภัยฯก็คุ้มมากที่ตัดสินใจรับนางเป็นเมีย เพราะนางได้ช่วยพระอภัยให้คืนดีกับนางสุวรรณมาลี และยังช่วยวางแผนในการทำศึกสงครามอีกหลายครั้ง

นางวาลี มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ตัวดำ ที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด จึงอยู่เป็นสาวโสดจนอายุได้ 34 ปี แต่นางก็ใฝ่ฝันว่าอยากมีสามีรูปงามและสูงศักดิ์ พ่อแม่ของนางตายหมดตั้งแต่นางยังเด็กจึงอาศัยอยู่กับตายาย นางวาลีได้ศึกษาเล่าเรียนตำรับตำราของตาจนมีความรู้แตกฉาน เมื่อ พระอภัยมณี ประกาศรับสมัครคนดีมีฝีมือเข้ารับราชการ นางวาลีก็ไปสมัคร และขอให้พระอภัยมณีแต่งงานกับนางด้วย พระอภัยมณีเห็นว่านางมีสติปัญญาเป็นเลิศและมีความรู้ดี จึงแต่งตั้งให้นางเป็นสนมเอก นางเป็นผู้ออกอุบายให้จับตัว อุศเรน ได้ และใช้วาจาพูดเยาะเย้ยจนอุศเรนอกแตกตาย แต่นางถูกปีศาจของอุศเรนเข้าสิงร่างจนป่วยหนักและถึงแก่ความตายในที่สุด
นางละเวงวัลฬา        เมียคนสุดท้ายคือ นางละเวง ซึ่งมีนิสัยออกจะเป็นนางร้ายสักหน่อย แค้นเคืองที่พี่ชาย(อุศเรน) เสียชีวิต จึงส่งรูปตัวเองไปยังเจ้าเมืองต่างๆหลอกให้ไปตีเมืองผลึก ว่ากันว่านางละเวงที่มีเชื้อสายเป็นฝรั่งมีรูปงามยิ่งนัก ขนาดพระอภัยฯได้เห็นแค่รูปยังหลงใหลพรํ่าเพ้อ

เมื่อคราวรบกัน พระอภัยมณีไม่ยอมให้นางละเวงหนี จึงเป่าปี่และเผยตัวให้พบจนนางละเวงหวั่นไหวไปเหมือนกัน ภายหลังเมื่อนางละเวงจับตัวพระอภัยได้ จึงกลับตกหลุมรักทันทีที่เห็นหน้า ยิ่งเจอไม้ตาย คำมั่นสัญญา ของพระอภัยมณีที่ว่า

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงษ์ จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป



นางละเวง จึงใจอ่อนยอมเป็นเมียคนที่5ของพระอภัยมณี
              

      นางอัปสร


       นางอัปสรที่ใกล้คนไทยที่สุดเห็นจะเป็นนางอัปสรนครวัด     ของไทยเราไม่มีนางอัปสรที่เด่นชัดขนาดนั้น  
แต่ถ้าเป็นนางฟ้าถือพานโปรยดอกไม้วาดไว้ตามบัตรอวยพรรุ่นเก่าๆ หรือตามผนังโบสถ์ละก็ มีเยอะ

มาคุยกันเรื่องนางอัปสรดีกว่า
อัปสร มาจากภาษาสันสกฤต  ถ้าบาลีเรียกว่าอัจฉรา  เรารับมาทั้งสองคำ  ใช้ในความหมายว่านางฟ้า
ต้นกำเนิดของนางอัปสร มาจากตำนานการกวนเกษียณสมุทร     หลังจากเทพและอสูรกวนเกษียณสมุทรเพื่อเอาน้ำทิพย์แล้ว    สิ่งที่ผุดขึ้นจากการกวนมีหลายอย่าง   หนึ่งในจำนวนนั้นคือกลุ่มนางอัปสร  เป็นหญิงงามทั้งหมด

แต่จะด้วยอะไรก็ตาม   หญิงเหล่านี้ไม่มีเทวะองค์ไหนรับไปเป็นชายาประจำตัวเสียให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดลงไป    คงปล่อยนางไว้ลอยๆ  บนสวรรค์

แต่จะว่าเป็นอิสระมีสิทธิสตรีแบบหญิงแกร่งก็ไม่ใช่   เพราะเทพมักจะใช้นางอัปสรลงไปปฏิบัติงานบนโลกเป็นประจำ    หน้าที่หลักก็คือไปยั่วยวนทำลายตบะของฤาษีที่ทำท่าว่าบำเพ็ญนานแล้วจะเก่งกว่าเทวดา   พอฤาษีเสียที นางก็กลับขึ้นสู่สวรรค์  
แต่บางครั้งเคราะห์ร้าย  ถูกฤาษีโกรธสาปเอาให้มีอันเป็นไปก็มี    ส่วนเทวดาผู้ใช้นางไปทำงานนั้นกลับรอดตัว  ไม่แฟร์เท่าไหร่เลยนะคะ

นางอัปสรชื่อเมนกา เคยไปทำลายตบะของฤาษีวิศวามิตรสำเร็จ  มีลูกสาวออกมาชื่อศกุนตลา  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าทรงพระราชนิพนธ์เรื่องของนางไว้ชื่อ "ศกุนตลา" เป็นของขวัญแด่พระคู่หมั้น คือพระวรกัญญาปทาน

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

                 นางเงือก
 
      
     สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์เพียงแต่มีขาเป็นหางปลา และมักอาศัยอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่แทนที่จะเดินอยู่บนแผ่นดิน อาจเป็นเรื่องราวในตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ทว่าสำหรับชาวประมงแล้วนี่เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริงซึ่งพวกเขา เคยมีโอกาสพบเห็นในโลกลี้ลับใต้ท้องทะเล
   
การค้นหาความจริงเกี่ยวกับการขึ้นมาเกยตื้นของวาฬทั้งในวอชิงตันและแอฟริกา ใต้ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผลมาจากการทดสอบโซนาร์ของกองทัพเรือสหรัฐ ทำให้พวกเขาพบเจอกับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดที่โลกยังไม่เคยรู้จักโดยบังเอิญ ซึ่งทำให้เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงตำนานอีกต่อไป
   
ปี ค.ศ. 1997 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติของสหรัฐ หรือเอ็นโอเอเอ (NOAA) ได้บันทึกเสียงลึกลับได้ในมหาสมุทรแปซิฟิก จากประวัติศาสตร์ 50 ปีของโครงการวิจัยเสียงในทะเลลึกของเอ็นโอเอเอ มันเป็นเสียงเดียวที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเสียงอะไร เสียงบันทึกนี้ถูกขนานนามว่า “บลูพ” และพวกเขาคิดว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครรู้จัก
   
เช้าตรู่วันหนึ่งในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2004 เด็กชายสองคนในรัฐวอชิงตันเป็นคนแรกที่มาถึงสถานที่เกิดเหตุวาฬเกยตื้นหมู่ ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ก่อนจะรายงานสิ่งที่ได้พบ พวกเขาได้ตระเวนดูท่ามกลางฝูงวาฬที่ถูกซัดขึ้นมา เด็กชายคนหนึ่งมีกล้องโทรศัพท์มือถือ เขาใช้มันบันทึกภาพสถานที่เกิดเหตุเกยตื้นหมู่ และสังเกตเห็นสิ่งอื่น มันเป็นสิ่งที่เขาคิดว่ามันดูแปลก สิ่งที่ดูไม่เหมือนวาฬตัวอื่น ๆ สิ่งที่เด็กสองคนนี้อ้างว่าพวกเขาได้เห็นจะถูกบรรยายแตกต่างกันไปในรายงาน ฉบับต่าง ๆ ของทางการ
   
เอ็นโอเอเอตามรอยเรื่องลี้ลับนี้มานานหลายปี หลังพบปลาที่ถูกจับในทะเลเปิดมีฉมวกแทงอยู่ และตอนนี้มีคนพบพวกมันถูกซัดขึ้นมาเกยหาดพร้อมกับพวกวาฬ
   
“ก่อนหน้านั้นผมเคยได้ยินเรื่องสิ่งประหลาด ๆ ที่พบในปลาซึ่งถูกจับกลางทะเลบอลติก แต่ผมได้เห็นกับตาตัวเองเมื่อเราลากอวนในน้ำลึกบริเวณที่เป็นแอ่ง บางครั้งเมื่อเราดึงอวนขึ้นมา เราจะพบปลาซึ่งเพิ่งถูกฆ่า ปลาซึ่งมีฉมวกปักด้านข้าง ในการออกเรือเที่ยวหนึ่งผมเอากล้องไปด้วยตั้งใจจะถ่ายรูปวาฬที่ผมเห็นเพื่อ เอาไปให้ลูกชายดู ครั้งนี้เองที่เราลากอวนเข้ามาและเห็นว่ามีอะไรบางอย่างปีนออกจากอวนในขณะ ที่เราดึงเข้ามา ผมวิ่งไปหยิบกล้องและถ่ายรูปมันได้รูปหนึ่ง ผมคิดว่านี่คือตัวที่ทำฉมวก ผมคิดว่าเราคงไปรบกวนการจับปลาของคนอื่น” ฮันส์ เบาเออร์ ชาวประมงเยอรมันบอกเล่า
   
และระหว่างการค้นหาเหตุผลที่ทำให้วาฬเกยตื้นในแอฟริกาใต้ พวกเขาก็พบหลักฐานสำคัญที่จะไขความลี้ลับที่ค้นหามานาน เมื่อฉลามขาวมาตะลุยกินซากวาฬที่มาเกยตื้น แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่ฉลามหากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมัน มีบางส่วนที่ดูเหมือนอาจจะมาจากโลมา บางส่วนดูเหมือนจะมาจากแมวน้ำ แต่ไม่ใช่แมวน้ำหรือโลมาที่เราเคยพบ และมีอวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วย
   
“มีรอยแทงรอบ ๆ เหงือกและปากฉลาม และตอนแรกผมคิดว่านี่อาจจะเป็นอาการบาดเจ็บที่ได้รับตอนที่มันถูกเกี่ยวมา ติดข้างเรือ แต่ผมแหย่เข้าไปในรอยหนึ่ง และผมพบเงี่ยงปลากระเบนอยู่ข้างใน นี่อาจจะเกิดจากปลากระเบนป้องกันตัว ฉลามกินปลากระเบน ฉลามหัวค้อนกิน ฉลามเสือกิน แต่ฉลามขาวไม่กิน”  ดร.ไบรอัน แม็คคอร์มิค นักชีววิทยาทางทะเล ระบุถึงสิ่งที่พบ
   
นี่อาจเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมาจากทฤษฎีลิงน้ำ ที่อพยพจากบนบกลงสู่ทะเลและกระจายตัวอยู่ตลอดแนวชายฝั่งของทวีปแอฟริกา พวกเขานำซากที่มีเพียง 30% กลับไปที่ห้องทดลอง
   
ฟันของมันเป็นเรื่องน่าพิศวงจริง ๆ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลจะมีฟันแบบโฮโมดอนต์ ซึ่งแปลว่ามีฟันซึ่งมีขนาดและรูปร่างเหมือนกันหมด แต่ฟันของตัวอย่างนี้ไม่ใช่ มันมีฟันกราม ฟันหน้า ฟันเขี้ยว เป็นฟันแบบสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์ ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดไหนที่กินทั้งพืชและสัตว์
   
ในบรรดาชิ้นส่วนทั้งหมดที่มี แพนหางคือส่วนที่ถูกเก็บไว้ในสภาพดีที่สุด มันดูคล้ายหางพะยูนมาก และครั้งหนึ่งเคยมีพะยูนพันธุ์น้ำเย็นอาศัยอยู่ตามชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แต่พวกมันถูกล่าจนสูญพันธุ์ บางทีนี่อาจจะเป็นพะยูนพันธุ์นั้น อาจจะเป็นประชากรที่หลงเหลือ หรือญาติซึ่งไม่เคยถูกค้นพบของสัตว์ชนิดนี้ แต่เมื่อถ่ายภาพเอกซเรย์กลับพบว่ามีกระดูกในแพนหาง แต่พะยูนไม่มีกระดูกแบบนั้น ไม่มีวาฬชนิดไหนมีกระดูกในแพนหาง
   
เมื่อวิเคราะห์ชั้นเนื้อเยื่อที่ลึกลงไปพบว่า มีกรดไขมันที่พิเศษมาก ซึ่งสามารถคงสภาพเป็นของเหลวและทำหน้าที่เป็นฉนวนได้แม้จะอยู่ในน้ำเย็นจัด และยังพบโปรตีนในเลือดที่เรียกว่าไมโอโกลบิน ซึ่งทำหน้าที่เก็บออกซิเจนไว้ในกล้ามเนื้อ และพบเครือข่ายหลอดเลือดที่ช่วยเก็บความร้อนให้ระบบอวัยวะสำคัญ ๆ ทั้งสองสิ่งนี้เป็นการปรับตัวที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ขณะที่ม้ามขนาดใหญ่ใช้เก็บกักออกซิเจนและเลือด และเก็บออกซิเจนไว้ระหว่างดำน้ำลึก มันเหมือนมีถังสกูบาติดตั้งอยู่ภายในตัว
   
ส่วนกระดูกตะโพกที่พบนั้นบ่งบอกว่า สิ่งมีชีวิตตัวนี้มีโครงสร้างตะโพกแบบเดียวกับสัตว์ที่ยืนตัวตรง ครั้งหนึ่งมันเคยเดินสองขา
   
“ศพนี้เป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งสำคัญที่สุดในทางมานุษยวิทยา จนอาจจะเป็นหนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ มนุษย์ นิยามประวัติศาสตร์มนุษย์คงจะต้องถูกเขียนใหม่ นี่คือนักประดิษฐ์เครื่องมือซึ่งมีเชาวน์ปัญญา และมีมือที่หยิบจับสิ่งของได้ ซึ่งวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษจำพวกลิง บรรพบุรุษซึ่งเดินตัวตรงบนพื้นดินเหมือนพวกเรา” ดร.พอล โรเบิร์ตสัน หนึ่งในทีมงานระบุ
   
ขณะที่ ดร.ลีแอน ฟิซเซอร์ นักนิติมานุษยวิทยาในภาควิชาวิวัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยวิทวอเตอร์สรานด์ในแอฟริกาใต้ สแกนกะโหลกที่ถูกประกอบขึ้นมาใหม่ และพบว่า ช่องเปิดที่เศษชิ้นส่วนกะโหลกด้านหน้านั้นเชื่อมต่อกับโพรงไซนัสมากมายภายใน กะโหลก รูปร่างและลักษณะของกะโหลกนี้เผยให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีศักยภาพใน การทำเสียงได้อย่างสลับซับซ้อนเพียงใด รูปทรงเว้าที่ด้านหน้าของกะโหลกบ่งชี้ว่ามันมีเมลาน มวลเนื้อเยื่อไขมันพิเศษที่ทำให้โลมาและวาฬอื่น ๆ สามารถรู้ตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ ด้วยเสียงสะท้อน

นางมโนราห์

                  

 
            นางมโนราห์

     นางมโนราห์เป็น ธิดาองค์เล็กของท้างทุมราชผู้เป็นพระยากินนร  นางมีพระพี่นางอีกหกองค์ล้วนมีหน้าตาเหมือน ๆ  กัน  งดงามยิ่งกว่านางมนุษย์  รูปร่างหน้าตาของพวกเขาเหมือนมนุษย์แต่มีปีกและหางที่ถอดออกได้  เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้วกินนรก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้ นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรีเพราะเห็นว่านางงดงามคู่ควรแก่พระสุธน โอรสแห่งเมือง ปัญจาลนคร  พรานบุญจึงไปยืมบ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช ซึ่งได้ให้ยืมบ่วงนาคบาช เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตเอาไว้และเห็นว่าพระสุธนกับนางมโนราห์เป็นเนื้อคู่ กัน พรานบุญได้จับนางมโนราห์ไปถวายแค่พระสุธน พระสุธนเห็นเข้าก็เกิดหลงรักนางและพานางกลับเมือง และได้อภิเษกกัน ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธนเพราะว่าพระสุธนไม่ให้ ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ พระบิดาได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่  ให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญ ซึ่งท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์รู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางก็ร่ายรำได้สักพักก็บินหนีไป ไปเจอฤาษีก็ได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็จะได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์ ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจะติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ เปนเพราะเวรกรรมแต่ชาติที่แล้วนั่นคือ นางมโนราห์คือ พระนางเมรี และพระสุธนคือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบากมาก เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงได้แจ้งแก่พระมารดา ซึ่งพระบิดาต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักจิงต่อนางมโนราห์หรือไม่ ได้รับพระสุธนมาที่เมืองและให้พระสุธนบอกว่านางไหนคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ๆๆมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน ร้อนถึงองค์อินทร์ ต้องแปลงกายมาเป็นแมลงวันทอง จับที่ผมของนางมโนราห์ ทำให้นางมโนราห์และพระสุธนได้เคียงคู่อย่างมีความสุข